Boonniyom Communication: Right Media Readme Life
- Close

[HOME]
[ฝั่งฝันเพื่อฟ้าดิน]
[สังคมไทยวิกฤกติ เพราะการศึกษาที่ผิดพลาด]
[thik globally but act locally]
[สื่อมอมเมาคือ message ที่เป็นอสาระของฝ่ายเทพ แต่เป็นสาระ ของฝ่ายมาร]
[ยอมจำนนกับการศึกษาในวังวน]
[เปิดทางสวรรค์]
[บุคคล 4 จำพวก]
[ทำงานกับวงการสื่อมาตลอด]
[แบบจำลองการสื่อสาร กับสิ่งที่ข้าพเจ้าคิด]

[สัจธรรมในการสื่อสารบุญนิยม]
[จากทฤษฎีของ Berlo ถึง Kaviya พัฒนาเป็นทฤษฎีการสื่อสารบุญนิยม]
[การประยุกต์ใช้ระบบการสื่อสาร เพื่อการพัฒนามนุษย์]
[การสื่อสารภายในบุคคล กับการสื่อสารระหว่างบุคคล ในองค์กรบุญนิยม]
[หนังสือธรรมะ คือเจ้าใบ้เสียงดัง]
[ไม่ปฏิเสธทฤษฎีการสื่อสารตะวันตก ยุคการสื่อสารบุญนิยม]

[ทฤษฎีการสื่อสารบุญนิยม]
[มรดกทุนทางสังคม]
[กุญแจ 5 ดอก กลไกของการสื่อสาร]
[ภารกิจและหน้าที่ ของการสื่อสารบุญนิยม]

[ประสบการณ์นิเทศศาสตร์ สู่การสื่อสารเชิงบูรณาการ]
[นิเทศศาสตร์สุนทรีย์]
[ตัวตนของข้าพเจ้า]
[องค์ความรู้บุญนิยม]

email: sudin.expert@yahoo.com
phone: 08-9644-1048


 

ประสบการณ์นิเทศศาสตร์ สู่การสื่อสารเชิงบูรณาการ.

ปีการศึกษา 2547 ข้าพเจ้ามีโอกาสทำงานที่มหาวิทยาลัยเกริก ในตำแหน่งครูปฏิบัติการ
(ผู้ช่วยอาจารย์) ฝ่ายปฏิบัติการนิเทศศาสตร์ ทำหน้าที่ดูแลกิจกรรมภาคปฏิบัติของนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกริกเป็นมหาวิทยาลัยขนาดเล็ก มีนักศึกษาไม่ถึงพันคน ข้าพเจ้ามองเห็นว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทต่อการระบบการสื่อสารมาก โดยเฉพาะการสื่อสารด้านการศึกษา ข้าพเจ้าจึงได้ช่วยโครงการหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต ภาคพิเศษ ออกแบบและจัดทำเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ผลงาน การโฆษณาและประชาสัมพันธ์หลักสูตรให้ นักศึกษาที่นี่ส่วนใหญ่มีความประพฤติเรียบร้อย ส่วนหนึ่งนับถืออิสลาม เพราะพวกเขาเคร่งในศาสนามากกว่านักศึกษาที่นับถือพุทธ การแต่งกายที่ล่อแหลมต่อการเกิดอาชญากรรมทางเพศ คงจะได้รับอิทธิพลจากสื่อต่างๆ ข้าพเจ้าเห็นว่าน่าจะรักษาสัดส่วน ระหว่างแรงจูงใจของสื่อที่สูงกว่ากลับพลังของศีลธรรม ที่มีต่อนักศึกษา โดยเฉพาะคณะนิเทศศาสตร์ ที่อยู่ในวงการมายา ในการกำหนดนโยบาย และการวางแผนกิจกรรมของปฏิบัติการนิเทศศาสตร์ ข้าพเจ้าได้กำหนดแนวทางไว้ดังนี้

นโยบาย 4E

1. Environment for construction จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมในการเรียนรู้ด้วยตนเอง

2. Exercise by facilitators ฝึกปฏิบัติจากครูปฏิบัติการ

3. Expert with IT พัฒนาให้เกิดความเชี่ยวชาญด้วยสื่อสารสนเทศ

4. Ethics in position องอาจในขอบเขตจริยธรรม สมดังปณิธาน “ความรู้ ทำให้องอาจ”

เป้าหมายที่ต้องการให้แก่เกิดแก่ผู้เรียนและองค์กร ได้แก่ 5ส. (สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ สร้างนิสัย) 4อ. (อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย อารมณ์) และ 3ล (ลด ละ เลิก ความสูญเสีย และโทษภัยต่างๆ)

ส่วนภารกิจใช้นโยบาย D3D (3 ด้าน x 3 แผนงาน)

ด้านวิชาการ

1. ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองจากสื่อ และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

2. อำนวยความสะดวกในการสอน และทักษะ

3. พัฒนาความชำนาญผ่านสื่อไอที

ด้านวิชาชีพ

1. ส่งเสริมมาตรฐานการเรียนรู้ จากชิ้นงานที่ได้รับรางวัล

2. พัฒนาเอกลักษณ์ความคิด ไปสู่การสร้างแบบของตนเอง (อัตลักษณ์)

3. นำเสนอผลงานเด่น สู่การเป็นต้นแบบ (Model)

ด้านคุณธรรม จริยธรรม

1. กระตุ้นให้เกิดปัญญา รับรู้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกัน

2. ส่งเสริมความสำนึก ความกล้าหาญทางจริยธรรม

3. ประกาศเกียรติคุณ “ความรู้ ทำให้องอาจ”

มาตรฐานและคุณภาพองค์กรที่ต้องการ ข้าพเจ้าได้นำหลักทฤษฎีการบูรณาการการสื่อสารองค์กร จากหนังสือการประชาสัมพันธ์ใหม่ ซึ่งเขียนโดย รศ.ดร.สมควร กวียะ ด้วยการนำกระบวนการ IAICI มาร้อยเป็นคำขวัญประจำองค์กร คือ

รักองค์กรด้วยใจ (Incorporation)
ทุ่มเทให้กับงาน (Action)
พัฒนาสารสนเทศ (Information)
ใช้กลเม็ดสื่อสาร (Strategies Communication)
มีปฏิสัมพันธ์ที่ดี (Interactive)

 

นิเทศศาสตร์สุนทรีย์.

ข้าพเจ้าเขียนโน้ตดนตรีไม่เป็น แต่ก็รักในการแต่งเพลงและร้องเพลง แต่มีข้อเสียคือ จังหวะไม่ค่อยได้ อาจเป็นเพราะตอนเด็กไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมเข้าจังหวะ ทำให้ทำอะไรดูแข็งๆไป ไม่มีจังหวะ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่า จังหวะดนตรี คือจังหวะชีวิต สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในศิลปะแห่งการสัมพันธภาพกับคนได้ เพราะจังหวะคือเวลา และโอกาส ที่บางครั้งต้องรอ แต่บางครั้งรอไม่ได้

การฝึกกิจกรรมเข้าจังหวะ ข้าพก็ได้อาศัยเพลงคาราโอเกะนี่แหละ ฝึกร้องฝึกเข้าจังหวะ อาศัยที่ข้าพเจ้ารักภาษาไทย ชอบแต่งกลอน สมัยยังเป็นครูยุคแรกๆ เคยแต่งคำฉันท์ เคยแต่งโคลงสี่ด่าตำรวจก็เคย เพราะไม่พอใจในการใช้อำนาจรีดไถประชาชน นั่นก็อารมณ์ตอนมีอุดมการณ์แก่กล้า แต่ปัจจุบันเข้าใจแล้ว น่าเสียดายที่เอกสารต่างๆ เก็บไว้ไม่ดีสูญหายไปหมด

เชิดชูศาสนาและคุณธรรม

แนวเพลงที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นเกือบทั้งหมดเป็นเพลงลูกทุ่ง และก็เขียนแบบลูกทุ่งดูไม่มีหลักการอะไร เพราะไม่ได้ร่ำเรียนมาทางดนตรี แต่งเอาความหมายและทำนองเข้าว่า

ในเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ในโลกมนุษย์ต้องเรียนรู้ หลักการที่พระพุทธเจ้าพาเป็น
ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกปฏิบัติตน ช่วยตน ช่วยสังคมมนุษยชาติ
ถ้าทำไม่ถูกหลัก ก็ทำลายตน ทำลายโลก

บนโลกที่มืดมิด ย่อมมีจุดที่สว่างไสว ด้วยพ่อท่านมีนโยบาย จะสร้างศูนย์กลาง การบริหารและการบริการ ระบบบุญนิยม ของชาวอโศก ที่สันติอโศก กรุงเทพมหานคร ตามโครงการปฐพีพุทธ ด้วยการก่อสร้างอาคาร ล้อมรอบศาลาวิหารพันปีบรมสารีริกธาตุ เป็นศูนย์การบริหาร ของชาวอโศกครบวงจร บทเพลงนี้ จะเป็นสื่อสนับสนุน โครงการปฐพีพุทธ ให้ดำเนินต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ

เพลงพลังพุทธปฐพี
คำร้อง - ทำนอง: สู่ดิน ชาวหินฟ้า

โลกร้อน โลกแล้ง ฤทธิ์แรงเงินตรา
ผู้คนหลงอวิชา ไขว่คว้า แก่งแย่งแข่งขัน
ให้หรูเลิศรวย สุดสวย สุดโต่งดึงดัน
เป็นโลกแห่งความเพ้อฝัน นับวันยิ่งเมามันหนัก

เสพสุขหลงสุข เป็นคุก ขังคน
มัวเมาไม่รู้เหตุผล พาชีวิตจมปลัก
แว่วเสียงเรียก ของพ่อท่านโพธิรักษ์
ชีวิตนี้ช่างน้อยนัก พ่อขอสักชาติคนดี

สร้างศีลให้เด่น เป็นงาน เชี่ยวชาญวิชา
สังคมจะได้พึ่งพาลดการเข่นฆ่าราวี
มาร่วมสร้างแดน คือแคว้นพุทธปฐพี
พระโพธิสัตว์ท่านชี้ บูชาสารีริกธาตุ

แม้เหนื่อยแสนหนักรู้พักรู้เพียร
วิชชาที่ต้องร่ำเรียน พากเพียรและต้องยืนหยัด
เหนือโลกโลกีย์ตามวิถีของปราชญ์
คือชีวทัศน์ของชาติชาวบุญนิยม

(ดนตรี)

แม้เหนื่อยแสนหนักรู้พักรู้เพียร
วิชชาที่ต้องร่ำเรียน พากเพียรและต้องยืนหยัด
เหนือโลกโลกีย์ตามวิถีของปราชญ์
คือชีวทัศน์ของชาติชาวบุญนิยม

10 ก.ย. 2546

ไม่มีศาสนาองค์ในโลกที่บอกว่า
อบายมุข คือสิ่งที่ควรสำหรับมนุษย์
มันคือ ทางแห่งความเสื่อม
ที่มนุษย์ผู้ใดไปหลงเสพมันเข้า
ย่อมนำความทุกข์ ความสูญเสีย มาสู่ตน
แต่ก็ไม่ใช่ของง่ายนัก ที่มนุษย์ผู้โง่เขลา
ผู้หลงเป็นทาสของมันแล้วจะรู้สำนึก
เลิกละมันให้ได้ นอกจาก วิถีทางของชาวบุญนิยม
มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ที่จะเอาชนะจนเป็นอิสระจากมันได้

เพลงนรกคนเป็น
คำร้อง - ทำนอง: สู่ดิน ชาวหินฟ้า

โชคไม่มีที่จะได้ดังหมาย
หลงทางเสี่ยงทาย ทรัพย์สินหมดไปทุกวัน
อยากหรูเลิศรวย ซื้อหวย เท่าไหร่เท่ากัน
ใครเล่าจะรู้เท่าทัน การพนันเป็นของไม่ดี

กว่าจะรู้ตัว ว่าชั่วก็เกือบสายเกิน
มัวหลงเพลิดเพลิน สู่แดนนรกอเวจี
บุหรี่ สุรา ยาบ้า ยาม้า ยาอี
หมดตัวหนี้สินทวี สุดทางแก้ไขแล้วเรา

อบายมุข แท้จริงคือความสุขหรือ
สุดท้ายทุกคนก็คือ นักโทษที่ถูกไฟเผา
เพราะยอมให้หลอก จึงถูกปอกลอกมัวเมา
ตื่นเสียทีเถิดเรา เรียนรู้สัจจะกรรมเวร

นอนหลับฝันร้าย ยังตื่นขึ้นมาหายใจ
แต่หนี้ซิเลวร้าย ยิ่งกว่า ลืมตายังเห็น
เลิกเสียที ลาแล้ว นรกกรรมเวร
พึ่งตนให้ได้ให้เป็น สัมมาอาชีพบุญนิยม

(ดนตรี)

นอนหลับฝันร้าย ยังตื่นขึ้นมาหายใจ
แต่หนี้ซิเลวร้าย ยิ่งกว่า ลืมตายังเห็น
เลิกเสียที ลาแล้ว นรกกรรมเวร
พึ่งตนให้ได้ให้เป็น สัมมาอาชีพบุญนิยม.

31 ตค.2545

สมณะจันทเสฏโฐ มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน มอบหนังสือ และ
สื่อธรรมะให้แก่ หงา คาราวาน เมื่อคราวมาร่วมกิจกรรม
เทเหล้าเข้าพรรษา ที่ศาลาวิหารพันปี สันติอโศก เมื่อปี 2547

 

ทุกคน มีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเดิน ของตนเอง
พระเจ้าก็ลิขิตชีวิตของเราไม่ได้
แต่คนส่วนใหญ่ทั้งโลก กลับยอมให้กิเลสเป็นเจ้าชีวิต
ชี้เป็นชี้ตาย ให้คนดิ้นไปตามโลกธรรม
ที่ต่างคนต่างหาโอกาส เอาเปรียบซึ่งกันและกัน
ภายใต้การแข่งขันด้านวัตถุนิยม
จนทำให้ครอบครัวล่ม สังคมบิดเบี้ยว
มันคือทางเดินของชีวิต ภายใต้ลิขิตของกิเลส

เพลงกลับสู่ทางเกวียนสายเก่า
คำร้อง - ทำนอง: สู่ดิน ชาวหินฟ้า

เพราะยอมกิเลสให้มาครอบครอง
ทุกคราที่มันเรียกร้อง ต้องทุกข์ระกำช้ำใจ
เพราะอยากมั่งมี จึงซื้อชีวิตสบาย
เงินทองกู้มามากมาย ใช้จ่ายแต่รายได้ไม่มี

ลูกเต้าที่อยู่ไม่มีไผดูแล
ต่างเรียกหาพ่อแม่ โปรดเข้าใจหนูที
หลง กิน กาม เกียรติ ชอบเลียนแบบเศรษฐี
อยากดังเหมือนหนังทีวี จึงต้องสร้างหนี้ไว้รอ

หวังให้ลูกเรียนเป็นเจ้าเป็นนาย
ไม่ต้องมาเลี้ยงควาย ถากไถไร่นาเหมือนพ่อ
มีบ้านหลังใหญ่ ที่ดินมากมายอย่าพอ
สะสมไว้เถอะอย่าท้อ ขอให้ร่ำรวยศักดินา

ความหวังพ่อแม่ต้องพังทลาย
ส่งเสียให้ ลูกหญิงชาย แต่เขากลับไปติดยา
ต้องพาลูกกลับ ยอมรับในโชคชะตา
สุดท้ายต้องหวนคืนมา กลับสู่ทางเกวียนสายเก่า

(ดนตรี)

ความหวังพ่อแม่ต้องพังทลาย
ส่งเสียให้ ลูกหญิงชาย แต่เขากลับไปติดยา
ต้องพาลูกกลับ ยอมรับในโชคชะตา
สุดท้ายต้องหวนคืนมา กลับสู่ทางเกวียนสายเก่า

16 พ.ย. 2545

สังคมเลว เพราะคนดีท้อแท้
คนดีต้องช่วยสังคม และ
ต้องวางตัวเป็นกลาง
เป็นกลาง หมายถึง
ต้องเข้าข้างคุณธรรม
มิใช่ไม่สนใจใยดี
ปล่อยให้คนชั่วทำเลว และลอยนวล
เศรษฐกิจ สังคม การเมือง เป็นเรื่องของประชาชน
ประชาชนต้องมีหน้าที่
มิใช่ปล่อยวางให้เป็นภาระของนักการเมือง
มิฉะนั้น จะเกิดการครอบงำ
ทางวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจ
โดยคนไม่ดี มามีอำนาจ แล้วใช้สื่อ
ใช้อำนาจนั้นอย่างไม่เป็นธรรม
จนเกิดโศกนาฏกรรม รายวัน

เพลงสุสานคนเป็น
คำร้อง - ทำนอง: สู่ดิน ชาวหินฟ้า

ขึ้นชื่อ เมืองพุทธ แสนสุด เวทนา
ผู้คนนั้นถูกเข่นฆ่า ผืนป่าถูกโค่นเมามัน
สูดกลิ่นคาว สาวงามเสียพรหมจรรย์
เทวดาลงทัณฑ์ ถึงวันโลกม้วยมลาย

ภาพถ่าย รอยยิ้ม ซ่อนซับ น้ำตา
ชีวิตของคนรากหญ้า ถึงคราต้องล่มสลาย
แต่สิ่งที่เห็น ล้วนเป็นซากชีวิตวาย
มันคือความหมาย สังคมสุสานคนเป็น

เปิดประตูเสรีอ้างวจีสวยสวย
คือความซวยของคนยากเข็ญ
นายทุนเป็นใหญ่ ล้วงไส้เลือดสาดกระเซ็น
ยื้อแย่งชิงดีชิงเด่น เที่ยว เข่นฆ่าโกงกิน

เขาเสพ จนอิ่ม เดินยิ้ม ย่องหนี
ทิ้งซากไว้ให้อ้วนพี คือภาระหนี้สิน
ลูกหลานไทย ชดใช้เลือดหลั่งไหลริน
รอวันสูญสิ้น เป็นทาสทุนนิยม

10 ธันวาคม 2546

สื่อสารสาระแห่งคุณค่าของแผ่นดินผ่านบทเพลง

เพลงนี้ตั้งใจแต่งเพื่อเทิดพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ทรงพระราชดำริให้คนไทยมาพึ่งตนเอง สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ปลูกข้าวอินทรีย์ไร้สารพิษสารเคมี เพราะในหลวงท่านเสวยข้าวกล้อง เป็นช่วงเวลาที่ เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษแห่งประเทศไทย ได้จัดฝึกอบรมให้เกษตรกรที่พักหนี้ ธ.ก.ส. 3 ปี หันมาเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นชาวนาที่ยิ่งใหญ่ พึ่งตนให้ได้ ข้าพเจ้าจึงประพันธ์เพลงนี้ไว้ เรียกร้องให้หนุ่มสาวที่ละทิ้งท้องไร่นา ทิ้งชุมชนของตน กลับไปฟื้นฟูบ้านเกิดของตนเสียใหม่ เนื้อหาในท่อนสุดท้าย “…ว่าไผเฝ้ารอได้กินอาหารดีดี” ไผ ในที่นี้หมายถึงพระองค์ท่าน

เด็กน้อยสองพี่น้องลืมตาขึ้นมาดูโลก
ท่ามกลางวิกฤติของสังคม
เติบโตขึ้นมาภายใต้ความรักของตากับยาย
ซึ่งหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขา จะต้องได้เรียนหนังสือ
ทำงานสบายๆ ไม่ต้องลำบากเหมือนพ่อแม่…
แต่ก็เป็นได้แค่ความหวัง
สองพี่น้องเรียนจบแค่มัธยมต้น ไม่มีเงินเรียนต่อ
ต้องออกไปช่วยตากับยาย ทำมาหาเลี้ยงชีพ ส่งดอกเบี้ยธนาคาร
พวกเขาไม่มีเวลาที่จะคิดถึงพ่อแม่ ทีทอดทิ้งเขาไปตั้งแต่ลืมตาดูโลก…

กาลเวลาล่วงไปได้ปีเศษ
โชคดีที่เขาทั้งสองได้เข้ารับการฝึกอบรม โครงการสัจธรรมชีวิต
พี่ชายเริ่มมีความหวัง ที่จะฟื้นฟูสภาพครอบครัว
ขณะที่น้องสาว ไม่มั่นใจกับชีวิต ที่ผูกติดกับเกษตรกรรม ซ้ำซากจำเจ …
ในที่สุดเธอกับเพื่อนๆ จึงออกจากหมู่บ้าน
ไปแสวงโชคหางานทำที่กรุงเทพฯ
ด้วยหวังว่าสักวันหนึ่ง ตากับยายจะได้สบาย ไม่ต้องทำงานหนัก …
โครงการสัจธรรมชีวิต
ได้พลิกผันทั้งความคิด ความเชื่อ และอาชีพ
ให้แก่เด็กหนุ่มผู้ เป็นพี่ได้พบความหวังใหม่
ความหวังที่เต็มเปี่ยมไปด้วย ความอุดมสมบูรณ์
ความเสียสละ หนี้สินลด มีเงินออม …
นับวันเขายิ่งมั่นใจ ในวิถีทางเศรษฐกิจพอเพียง
วันนี้…ค่ำคืนนี้ เขายังรอคอย น้องสาวคนที่เขารักมากที่สุด
ว่าสักวันหนึ่ง จะกลับมาช่วยกัน พลิกฟื้นชีวิตบ้านนา…

เพลงเกษตรอินทรีย์ไทย
คำร้อง - ทำนอง: สู่ดิน ชาวหินฟ้า

หล่าเอ๊ย เจ้าคิดฮอดอ้ายบ๊อ
อ้ายนี้เฝ้ารอ คอยวันที่น้องกลับคืน
อยู่เมืองกรุง ชีวิตยุ่งยากขวัญยืน
แม้ยามดึกดื่น รอได้ยังพอมีแฮง

บ้านเฮา เจ้าคิดฮอดบ้างไหม
หมู่เฮาชาวไทยร่วมใจไม่แตกแขนง
เศรษฐกิจพึ่งตน ให้ชุมชนเข้มแข็ง
โปรดอย่าระแวง รีบกลับมาพลิกฟื้นตัว

เกษตรอินทรีย์ นี่คือวิถีบ้านนา
ปลูกข้าวถั่วงา พืชผักกันทุกครอบครัว
ตั้งใจลดละตั้งจิตสัจจะอย่ากลัว
เชื่ออ้ายเถอะทูนหัว เชื่อมั่นแนวทางนี้ซี

หล่าเอ๊ย เจ้าสำนึกได้บ๊อ
ว่าไผเฝ้ารอ ได้กินอาหารดีดี
ให้หมู่พวกเฮา ร่วมใจสามัคคี
เลิกใช้เคมี ปลูกข้าวอินทรีย์ของไทย

(ดนตรี)

หล่าเอ๊ย เจ้าสำนึกได้บ๊อ
ว่าไผเฝ้ารอ ได้กินอาหารดีดี
ให้หมู่พวกเฮา ร่วมใจสามัคคี
เลิกใช้เคมี ปลูกข้าวอินทรีย์ของไทย
(ร้องซ้ำ)
ให้หมู่พวกเฮา ร่วมมือสามัคคี
เลิกใช้เคมี ปลูกข้าวอินทรีย์ของไทย

27 พ.ย. 2545

นี่ก็อีกเพลงหนึ่ง ที่เรียกร้องให้หญิงสาวชื่อดาว กลับถิ่นบ้านเกิดผ่านสื่อเพลงนี้ ข้าพเจ้าแต่งเพลงนี้ วันที่ไปเยี่ยมน้องสาวที่จังหวัดลพบุรี วันนั้นตรงกับวันงานฤดูหนาวของเมือลพบุรีพอดี ดังนั้น ใครชื่อดาว โปรดยกมือขึ้น แล้วฟังเพลงนี้

ดาว เป็นชื่อของหญิงสาวผู้หนึ่ง
ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทน ของกลุ่มหนุ่มสาวชาวชนบท
พากันละทิ้งบ้านช่อง เข้าไปเสี่ยงโชคในกรุงเทพฯ
พวกเธอลืมไปว่ายังมีเพื่อนๆ พ่อแม่ที่อยู่ข้างหลัง คอยเป็นห่วง

หมู่บ้านวันนี้ กับเมื่อยี่สิบปีก่อน เปลี่ยนแปลงไปมาก
สภาพแวดล้อมทรุดโทรม เต็มไปด้วยสารพิษ
ชาวเกษตรกรเริ่มเป็นหนี้
ยากจนลง คนหนุ่มสาวหายไป เหลือไว้เพียงคนแก่ชรา
ปีแล้วปีเล่า

นั่นเป็นภาพชีวิตที่กำลังเป็นอดีต
เมื่อชาวเกษตรกรในหมู่บ้าน ได้รับการชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ปลุกจิตสำนึก ให้เชื่อมั่นในเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ
ปลุกใจ ให้กตัญญูต่อแผ่นดินแม่
ปลุกความศรัทธา ให้เลื่อมใสและยึดมั่น ในหลักศาสนา
ด้วยการอุดรูรั่วของชีวิต ส่งเสริมกสิกรรมไร้สารพิษ
เพื่อสร้างชีวิตใหม่ ไร้อบายมุข สุขภาพยั่งยืน

ค่ำคืนนี้ไม่มีคนชื่อดาวในหมู่บ้าน
ลมหนาวปีนี้ชั่งรุนแรงเสียเหลือเกิน
ขอฝากเพลงนี้ไปกับสายลมด้วยว่า
กลับบ้านเราเถอะ...ดาว

เพลงดาวคืนดิน
คำร้อง - ทำนอง: สู่ดิน ชาวหินฟ้า

วอนลมหนาว ช่วยบอกดาว เจ้าอยู่ที่ใด
เธอรู้หรือไม่ หลายคน นั้นเฝ้าห่วงหา
เจ้าจากไปไกล ทิ้งนาไร่ ไม่เคยหวนมา
พ่อแม่ลุงป้าน้าอา ถามถึงคนชื่อดาว

อ่านจดหมาย จากพื่ชาย ส่งมาหรือยัง
วอนแม่ร้อยชั่ง ย้อนคืน ท้องถิ่นเถิดสาว
กลับมาพลิกฟื้น ผืนดิน ที่เคยซบเซา
จากพิษเคมี ปวดร้าว ขอร้องน้องดาวคนดี

เกษตรอินทรีย์ชุบชีวิตคนบ้านนา
ปลูกผักไร้สารพิษฆ่า ชีวาย่อมอยู่สุขี
เศรษฐกิจพอเพียง หล่อเลี้ยงมานานหลายปี
เอื้ออาทรภักดี ให้มากมีน้ำใจ

วอนเถิดสาว ขอร้องดาว ให้รีบคืนกลับ
ตัดใจลาลับ เลิกแล้ว สิ่งที่หลงใหล
บ้านทุ่งวันนี้ มีรอยยิ้ม อิ่มจากใจ
ดุจร่มโพธิ์อาศัย ส่งเสริมให้คนทำดี

(ดนตรี)

เกษตรอินทรีย์ นี่คือวิถีบ้านนา
ไร้สารพิษภัยถ้วนหน้า ชีวาย่อมอยู่สุขี
เป็นภูมิปัญญา สืบทอดมานานหลายปี
เอื้ออาทรภักดี ให้มากมีน้ำใจ

วอนเถิดสาว ขอร้องดาว ให้รีบคืนกลับ
ตัดใจลาลับ เลิกแล้ว สิ่งที่เหลวใหล
บ้านทุ่งวันนี้ มีรอยยิ้ม อิ่มจากใจ
สร้างสังคมเครือข่าย พึ่งตน ของคนทำดี

10 ธ.ค. 2546

 

ส่วนเพลงนี้เขียนเพื่อไม่อยากให้นักร้องอย่างนางสาวเฮเลน หลงลืมตัว ที่อดีตเคยเป็นคนบ้านนอกมาก่อน ถลำตัวเข้าวงการบันเทิง แต่เอาตัวรอดได้ มีไม่มากหรอกสำหรับกรณีนี้

ฝากบทเพลงนี้ไปถึงนาง
ที่เคยหยอกล้นกันเล่น เมื่อสมัยเป็นเด็ก
ทราบข่าวว่า เธอไปได้ดิบได้ดี ได้ทำงานใกล้ชิดกับคนระดับรัฐมนตรี
แต่กว่าเธอจะฝ่าฟันไปถึงตรงนั้น มั่นชั่งเสี่ยงเหลือเกิน
พบเธอครั้งหนึ่ง อยากจะบอกว่า
นี่ไม่ใช่เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับหญิงสาว
มันเสี่ยงเกินไป !!
ได้ดิบได้ดีแล้ว อย่าลืมบ้านทุ่ง บ้านป่า
เพื่อนๆ หลายคน ที่เคยวิ่งเล่นด้วยกันถามถึง
มาเถอะ มาช่วยกันสร้างสัจธรรมชีวิตให้เกิดขึ้น
ในแผ่นดินบ้านป่าแห่งนี้
ยังหรอกนะ... ยังไม่เชื่อว่า
นางจะเปลี่ยนแปลงไป
จนลืมบ้านเก่า บ้านป่านาดอน

เพลงสาวกรุงคืนถิ่น
คำร้อง - ทำนอง: สู่ดิน ชาวหินฟ้า

จากแดนบ้านป่า ตามหา น้องนางบ้านทุ่ง
พากันเข้ากรุง มุ่งมาอยู่เมืองหลวง
ไม่เคยคิด เดินทางผิด คือหนทางลวง
พ่อแม่หวงห่วง เกรงเจ้า สิบ่รู้ควร

เจ้าเซือคำเว่า คำเขาโฆษณา
ชอบผ้านุ่งผ่า ฟอกหน้า เป็นสาวผิวนวล
นั่งรถเก๋ง ร้องเพลง อ้อนคำเย้ายวน
เผื่อชีวิตผันผวน ได้เป็นสะใภ้คุณหญิง

วัตถุเงินตรา ที่คนหลงค่าจับจอง
รวงข้าวสีทอง นี่สิเป็นของจริง
แต่คนไม่รู้สมสู่เหมือนผีเข้าสิง
ไร่นาทอดทิ้ง แย่งชิง วัตถุมายา

จากชาวบ้านป่า วอนหา คนกล้าชิดใกล้
น้องนางบ้านไร่ รอยไถ ยังคงถามหา
ได้ดีแล้ว น้องแก้ว มาช่วยพัฒนา
ให้คนบ้านป่า รู้ค่าของการพึ่งตน

(ดนตรี)

วัตถุเงินทอง ล้วนเป็นของมายา
ส่วนข้าวในนา นี่สิเป็นของจริง
แต่คนไม่รู้สมสู่เหมือนผีเข้าสิง
ศีลธรรมทอดทิ้งพึ่งพิงวัตถุมายา

จากชาวบ้านป่า วอนหา คนกล้าชิดใกล้
นางอยู่ที่ใด รอยไถ ยังคงถามหา
ได้ดีแล้ว น้องแก้ว มาช่วยพัฒนา
ให้คนบ้านป่า รู้ค่าของการพึ่งตน

5 ม.ค. 2547

และที่สุดก็มาถึงเหตุการณ์ที่น่าสลดใจอีกเพลงหนึ่ง เป็นเหตุการณ์เรื่องราวของความรัก ที่เกี่ยวโยงกับวิถีชีวิตบนท้องนา ที่ปัจจุบ้นกำลังจะกลายเป็นอดีต หรือบางแห่งกลายเป็นอดีตไปแล้ว

ชนบท…..เป็นชีวิตที่ผูดติดกับกสิกรรม ความรัก เอื้ออาทร
เป็นพลังของสังคมที่มีเสน่ห์และดึงดูด
ตราบเท่าที่เรา ไม่เปิดหัวใจให้กับ โลกมายา

ที่โหดร้าย หลอกลวง ไม่มีสาระ แต่คนก็หลงติดมัน เพราะรส รูป กลิ่น เสียง และ สัมผัส เลวร้ายถึงขนาด คนก็กล้าที่จะแลกมัน ด้วยชีวิต เลือดเนื้อ และทรัพยากรของลูกหลาน ในอนาคต

วันนี้ ยังมีตำนานรัก ที่เหลือไว้เพียงความทรงจำ

เพลงรวงลืมทุ่ง
คำร้อง-ทำนอง สู่ดิน ชาวหินฟ้า

แสงทองอำไพ ทาบทิวไผ่ อยู่ปลายทุ่งนา
รวงเอ๋ยมีเอ็งกะข้า ช่วยแปลงนาเป็นข้าวเต็มยุ้ง
ไม่ลืมรอยไถ รอยเท้า รอยยิ้มป้าลุง
สองเราช่วยกันพยุง พลังรักไม่ผันแปร

รวงเอ๋ยรวง ข้าเป็นห่วงมาทวงสัญญา
ไหนเอ็งบอกว่าปีหน้าจะกลับมาหาข้าดวงแด
เอ็งรู้บ้างไหม ท้องทุ่งไร้คนดูแล
เขามาซื้อแล้วแปร โรงนาให้เป็นโรงงาน...

*ถนนสายใหม่ พาคนเข้าไปในกรุง
ละทิ้งท้องทุ่ง อยู่กรุงรุ่งเรืองอลังการณ์
ดอกบุญไม่มี มีแต่ดอกเบี้ยเบ่งบาน
ชีวิตเป็นทาสยาวนาน ผู้คนไร้ทางกอบกู้

จดหมายลายเซ็นต์ นี่เป็นฉบับสุดท้าย
ส่งมาด้วยดวงใจ ข่าวร้ายที่รวงต้องรู้
ตัวข้าถูกขายให้โรงงานใหญ่ไร้ทางต่อสู้
ก่อนตายรวงจงรับรู้ รักจริงจากใจอ้ายทุย.

(ซ้ำ *่)

5 กรกฎาคม 2547

วิถีชีวิตชนบท ดำเนินไปภายใต้ความเรียบง่าย ความรัก และเอื้ออาทรต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นคนด้วยกัน สัตว์ ป่า ลำธาร และสิ่งแวดล้อม ที่เกื้อกูลกันอย่างแยกไม่ออก และกลมกลืน
ส่วนวิถีคนเมือง ที่ดำเนินไปภายใต้ ระบบทุนนิยม ทุกเวลา ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้อง ล้วนแต่ขึ้นอยู่วิถีทุนที่เอาวัตถุ และเงินเป็นที่ตั้งจนทำให้สองชีวิตที่เคยผูกพัน ต้องพลักพราก ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่ง ของความล้มเหลวในการพัฒนาชนบท ที่ปล่อยให้นายทุนมีเอกสิทธิ์ทุกอย่าง อาศัยความได้เปรียบ เบียดเบียนชาวบ้าน จนเกิดตำนานที่น่าเศร้า

และนี่คือชีวิตของรวงผู้น่าสงสาร โถ! จดหมายฉบับนี้ช้าเกินไปเสียแล้ว ในยุคสื่อสารไร้พรหมแดน แต่โรคเอดส์ก็ยังไม่ล้าสมัย สำหรับคนที่ยังหลงมัวเมาในตัณหา และประมาทในกาม ไม่เว้นแม้แต่นางสาวชื่อ รวง

เพลงรวงหลงกรุง
คำร้อง - ทำนอง: สู่ดิน ชาวหินฟ้า (หญิงร้อง)

ใต้แสงนีออน เข้านอน เมื่อตอนใกล้รุ่ง
ไม่มีคนคอยพยุง รู้ตัวเมื่อตอนร่วงโรย
ไม่ลืมอดีต ผิดพลั้งดั่งถูกแซ่โบย
ดวงจิตอ่อนระโหย อยู่ไปด้วยแรงศรัทธา

ทุยของข้า สัญญายังตราติดตรึง
หวังไว้สักวันได้พึ่ง แรงทุยกับไถคู่นา
เพราะเชื่อคำบอก ถูกหลอกหลงโลกมายา
ความสาวไม่เหลือคุณค่า กลายเป็นสินค้ากลางเมือง

*หัวใจยังแกร่ง แข็งแรงเมื่อตอนยังสาว
ตั้งใจจะไปเป็นดาว คราวนี้หวังเงินก้อนเขื่อง
หนังสืออ่านออก บรรยายบางกอกรุ่งเรือง
แท้จริงมิจฉาเต็มเมือง เหมือนมีชีวิตติดกรง

ได้อ่านจดหมาย ซึ้งใจทุยก็ครานี้
แต่สายใยชีวี ของรวงมืดมิดปิดลง
โรคร้ายรุมโทรม เหลือเพียงร่างให้คนปลง
นี่เป็นบทเรียนคนหลง คนที่ชื่อรวงลืมทุ่ง

23 กรกฎาคม 2547

จากชีวิตเกษตรกรไทยผู้ล้มเหลว นาล่ม หนี้สินล้นพ้นตัว จึงมุ่งสู่เมืองหลวง ฝากชีวิตไว้กับงานก่อสร้าง
เหมือนตอกย้ำความผิดพลาด ชีวิตกลับถอยจมไปกับอบายมุข และสิ่งมอมเมา ไม่เหลือความหวังใดใด
ไว้ให้กับลูกเมีย ตามที่ได้สัญญากันไว้ แต่โชคยังเข้าข้าง มีโอกาสได้เข้าฝึกอบรมสัจธรรมชีวิต
ปลุกจิตสำนึกที่ดีของเขาขึ้นมาอีกครั้ง

เพลงชีวิตใหม่ไร้สารพิษ
คำร้อง - ทำนอง: สู่ดิน ชาวหินฟ้า

มองเห็นกองฟาง ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย
อยากจากเมืองศิวิไลซ์ กลับไปบ้านเกิดเมืองนอน
ก่อนจากมา ข้าวในนา ยังเขียวตองอ่อน
เถียงนากับคำอ้อนวอน ลูกเมียยังไม่หมางเมิน

มาเป็นคนงาน ออกแรงก่อสร้าง ในกรุง
เพราะไม่มีข้าวใส่ยุ้ง จึงมุ่งขายแรงแลกเงิน
เมื่อมีเงินตรา ซื้อหาความสุขส่วนเกิน
อบายมุขเพลิดเพลิน หลงเดินเส้นทางผิดไป

อยากเอ่ยวาจา ลูกจ๋าพ่อขอโทษ
เมียรักอย่าเพิ่งขึ้งโกรธ ขอโทษที่คิดนอกใจ
พ่อสัญญาเจ้า เลิกเหล้าเข้าวัดดัดนิสัย
เพื่อให้เป็นคนใหม่ จริงใจจนชั่วชีวี

ถึงคราโชคดี ที่มีโอกาสฝึกตน
เลิกละกิเลสสู้ทน จนพ้นม่านหมอกโลกีย์
มุ่งสร้างกสิกรรม ตอกย้ำเกษตรอินทรีย์
ตั้งใจเลิกใช้เคมี ตามแบบวิถีบุญนิยม

(ดนตรี)

ถึงคราโชคดี ที่มีโอกาสฝึกตน
เลิกละกิเลสสู้ทน จนพ้นม่านหมอกโลกีย์
มุ่งสร้างกสิกรรม ตอกย้ำเกษตรอินทรีย์
ตั้งใจเลิกใช้เคมี ตามแบบวิถีบุญนิยม

25 ม.ค. 2547

ความรัก มักมีปัญหา

ปกติข้าพเจ้าไม่ถนัดที่แต่งเพลงรักๆ เลย แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ ที่หนุ่มสาวคู่หนึ่ง ซึ่งเป็นนักศึกษาทังคู่ เข้าเรียนด้วยกันในหลักสูตรคอมพิวเตอร์ ของโครงการพัฒนาฝีมือแรง ที่ซอยอารีย์ ถ.พหลโยธิน หลักสูตร 6 เดือน ข้าพเจ้าเลือกเรียนโปรแกรม Microsoft Visual Basic ราวเดือนกรกฎาคม 2546 คนทั้งสองทะเลาะกันด้วยเหตุหึงหวงกัน หนุ่มสาวทุกวันนี้ มีความประพฤติที่เบี่ยงเบน เพราะไปรับสื่ออินเทอร์เน็ตที่นิยมให้แฟนของตัวเอง มีไปคนใหม่ได้ (กิ๊ก) แต่อีกฝ่ายเกิดหึงหวง ก็เลยประพันธ์เพลงนี้

ชีวิตนักศึกษา ที่เหมือนเว่าไร้สายป่าน
ขาดการควบคุมความประพฤติที่ไม่เหมาะสม
โชคร้ายที่ประสบการณ์พวกเขายังน้อย
แต่สังคมกลับมองว่าเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว
การเพิ่มพูนทักษะความรู้ด้านอาชีพ แต่ขาดหลักศีลธรรม
ไม่ได้ช่วยให้เขาเป็นคนดีในสังคม หรือประสบความสำเร็จในชีวิต
ชีวิตที่ผิดพลาด ย่อมนำความเจ็บปวด มาสู่ความทรงจำ ที่ไม่อาจรู้ลืม

แรกรู้จักเศร้า เริ่มเมื่อเรารู้จักรัก
สรรพสิ่งที่แตกหัก เพราะมันเคยได้เกิดก่อ
แรกรู้จักใจ เริ่มเมื่อใจรู้จักพอ
รู้เกื้อกูลต่อ ก็เพราะเราเข้าใจกาล
จำรู้จักนิ่ง เพราะทุกสิ่งต้องผันผ่าน
เราเกษมศานต์ สิ้นต้องการพ้นพันธนา
(กิติยา รักดี)

เพลงรักสาวเจซี
คำร้อง - ทำนอง: สู่ดิน ชาวหินฟ้า

ชีวิตต้องสู้ จึงมาเรียนรู้เทคนิค
Visual Basic Access HTML
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ กับโฉมตรูที่หน้าห้องแถว
เท่านี้ก็ชื่นใจแล้ว มองเห็นแนวทางทุ่มเท

ยืนรอหน้าห้อง คิดว่าน้องจะกลับ
ที่ JC-Club รอรับที่ป้ายรถเมล์
แต่ว่าน้อง สมปอง เจ้าช่างโลเล
ปล่อยให้พี่ว้าเหว่ รอน้องด้วยใจผูกพัน

บ่ายโมงวันนี้ พวกเราต้องเข้าห้อง LAB
แต่ใจหายแว๊บ.. กลัวน้องส่งงานไม่ทัน
เจ้าไปกับหนุ่ม ผมยาวเอาใจทุกวัน
Flowchart ของเจ้าจอมขวัญ มี Condition หลายทาง

ได้สบตาน้อง รู้ซึ้งถึงในหัวใจ
ชีวิตที่พลั้งพลาดไป พี่ชายพร้อมช่วยอำพราง
วันรับวุฒิบัตร พี่ยังยืนหยัดรักนาง
พี่ขอเดินร่วมทาง ร่วมสร้างชีวิตสองเรา

(ดนตรี)

ได้สบตาน้อง รู้ซึ้งถึงในหัวใจ
ชีวิตที่พลั้งพลาดไป พี่ชายพร้อมช่วยอำพราง
วันรับวุฒิบัตร พี่ยังยืนหยัดรักนาง
พี่ขอเดินร่วมทาง ร่วมสร้างชีวิตสองเรา
(ร้องซ้ำ) พี่ขอเดินร่วมทาง ร่วมสร้างฝีมือแรงงาน

กันยายน 2546

อีกเพลงหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้น เมื่อคราวไปเรียนที่มหาวิทยาเกริก เป็นเพลงรักๆ เพลงแรกที่แต่งขึ้น ลองแต่งในแนวตลาดดู ไม่อยากเปิดเผยเท่าไรเพราะรู้สึกเหนียมอายตัวเอง แต่งเข้าไปได้อย่างไร แต่ด้วยความเป็นนักนิเทศศาสตร์บางอารมณ์ของละคร ก็ต้องสร้างขึ้น นี่แหละหนอโลกมายา

เพลงต้นรัก
คำร้อง-ทำนอง: สู่ดิน ชาวหินฟ้า

พบหญิงคนหนึ่ง แอบซึ้งตรึงใจไม่หาย
รังเกียจหรือเปล่าขวัญใจ ขอเพียงพี่ชายแอบมอง
ต้นรักผลิดอก บ่งบอกความหมายเกี่ยวดอง
รู้ตัวหรือเปล่าเล่าน้อง พี่ชายหมายปองในใจ

ต้นรักต้นหนึ่ง เหมือนตื่นขึ้นจากความฝัน
คอยเธอรดน้ำทุกวัน เติมฝันให้มีความหมาย
แอบยิ้มในจิต เกรงเธอจะคิดวุ่นวาย
แต่... เหมือนจุดประกายเติมรักหยั่งลึกวิญญาณ

เหตุการณ์คืนวันที่คอยบาดใจ
เมื่อเธอพบรักครั้งใหม่ กับชายที่เธอใฝ่ฝัน
เราเพียงสำรอง ให้เธอลองรักรายวัน
โถ! ชั่งใจร้ายดุดัน ผลาญใจพี่ชายเคยจอง

พิษรักปักจิต อดีตที่ไม่เลือนหาย
บูชาความรักยิ่งใหญ่ สุดท้ายก็ช้ำหม่นหมอง
ไม่เคยห้ามใจ ปล่อยให้น้ำตาไหลนอง
รู้ตัวครานี้ว่าต้อง เป็นตัวสำรองสักวัน

24 พ.ค. 2548

 

สังข์ทอง รจนา ปี 2005 จากวรรณคดี สู่วิถีชีวิตจริง

เมื่อปี พ.ศ.2544 - 2547 ข้าพเจ้ามีโอกาสพบปะพูดคุยกับชาวบ้านที่มาเข้าค่ายอบรมสัจธรรมชีวิต และพวกเขาตั้งใจว่าจะเลิกละสิ่งเสพติด อบายมุข แล้วจะเปลี่ยนแนวทางการปลูกพืชจากแบบพึ่งพาพ่อค้า ฉีดสารเคมี มาเป็นกสิกรรมไร้สารพิษ ทำให้ข้าพเจ้าฝันอยากเห็นผลสำเร็จของชาวบ้านเหล่านั้น จึงประพันธ์เป็นบทร้อยแก้ว เรื่องสังข์ทองรจนา แต่เป็นภาคประชาชนคนเดินดิน

บทประพันธ์ ของ สู่ดิน ชาวหินฟ้า
(10 ส.ค.2547 ปรับปรุง 12 มิ.ย.2548)
สำหรับนำไปเขียน บทภาพยนตร์, บทละครเวที, บทละครวิทยุ

(1) กำเนิดสังข์ทอง

นายสมยศ วิมลมาศ นักการเมืองท้องถิ่นจังหวัดใหญ่แห่งหนึ่ง มีนิสัยเจ้าชู้ มีภรรยาหลายคน จันทนี เป็นภรรยาคนแรก เป็นครูสอนหนังสือโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง อยู่กินกันมาก่อนจะมีชื่อเสียง พอหลังรับเลือกตั้งเป็นถึงนายกเทศมนตรี นายสมยศได้ข้าราชการหญิงอีกคนหนึ่ง ชื่อคุณวิชุดา เป็นภรรยาลับๆ แต่มีตำแหน่งสูงกว่าคุณจันทนี คุณวิชุดา มีนิสัยริษฉา ก้าวร้าว ชอบใช้อำนาจ แม้กับภรรยาลับคนที่สาม เป็นนักศึกษาสาวปีสี่ มหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง ก็ยังถูกรังแกเสมอมา

นายสมยศ ประสบความเร็จทางการเมือง โดยอาศัยกลโกงทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง ยศ มีเงิน มีกิจการ มีเงินเก็บสะสม จนเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองนั้น ต่อมาทั้งคุณจันทนี และวิชุดา ตั้งท้องในเวลาไล่เลี่ยกัน คุณจันทนีคลอดลูกชายน่าตาน่ารัก ให้ชื่อว่า สังขวุฒิ หรือเรียกว่า สังข์ คุณวิชุดา ได้ลูกสาว ชื่อ อายุรฉัตร หรือน้องอาย น่าตาน่ารักเช่นกัน แต่ด้วยนิสัยริษยาของ วิชุดา จึงใส่ความคุณจันทนีว่า เป็นชู้กับอาจารย์ที่สอนหนังสืออยู่โรงเรียนเดียวกัน ประกอบกับคุณสมยศ มีภารกิจมาก ไม่มีเวลาดูแลคุณจันทนี และห่างเหินไปมาก เข้าใจว่าลูกที่เกิดมาเป็นลูกชู้ จึงขับไล่ออกจากบ้าน

จันทนีเสียใจมาก จึงหอบลูกหนีกลับบ้านนอก ไปอยู่กับตายาย (คุณจันทนี เป็นลูกกำพร้า พ่อแม่ตายตั้งแต่ยังเล็ก มีตากับยายเลี้ยงดูมาตลอด) ด้วยภาระกิจ และหน้าที่ อ้นหนัก คุณสมยศจึงล้มเจ็บลง เมียที่มีอยู่ก็ดูแลไม่ดี ทำให้คิดถึงจันทนี ที่เคยดูแลกันมาอย่างดี เคยขอร้องให้จันทนีกลับมา แต่ถูกปฏิเสธ แสดงออกจนวิชุดาสังเกตได้ สุดท้ายคุณสมยศจึงเขียนพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติให้ จันทนีและลูก เพื่อชดเชยที่ตนทำผิดไป

วิชุดารู้เข้า จึงวางแผนให้สมุนคนสนิท ไปฆ่าสังขวุฒิเสียให้ตาย

ชีวิตความเป็นอยู่ของจันทนี และลูก เหมือนกันวิถีชีวิตชาวชนบท คุณตากับคุณยายอยู่กันสองคน แต่ก็พอมีอันจะกิน เก็บสะสมเงินทองซื้อสวนผัก สวนผลไม้ไว้ แต่อายุมากแล้วทำไม่ไหว เมื่อจันทนีกลับมาก็เลยยกที่ดินสวนทั้งหมดให้ จันทนีมีนิสัยอ่อนโยนชอบธรรมชาติอยู่แล้ว จึงไม่รังเกียจที่จะทำอาชีพกสิกรรม ซึ่งถึงแม้จะไม่เคยทำมาก่อน เธอและลูกๆ จึงเป็นชาวกสิกรไปโดยปริยาย ทุกวันหลังดูแลสวนแล้ว ก็จะปลูกผัก เก็บผักขาย พอเลี้ยงชีวิตของตายาย ตัวเอง และสังขวุฒิได้ไม่ขัดสนมากนัก และไม่ลืมที่จะสะสมเงินทองเก็บไว้เผื่อส่งลูกเรียน ชีวิตในวัยเด็กของสังข์ สังข์ก็ซนตามประสาเด็ก ติดของเล่นที่เคยเล่นตั้งแต่เกิด วันๆ เอาแต่เล่น จนอายุใกล้ห้าขวบ ก็ย้งไม่เลิกเล่น

วันหนึ่ง หลังจากแม่ ตา กับ ยาย ออกไปสวน สังข์สงสารแม่ จึงออกมาช่วยทำงานบ้าน เก็บกวาดบ้านให้สะอาด แต่พอแม่กลับมา สังข์ก็นั่งเล่นของเล่นอยู่เหมือนเดิม แต่แม่ก็แปลกใจที่บ้านเรือนสะอาดขึ้น วันหนึ่งจึงแอบดูพฤติกรรมลูก จนรู้แน่ว่า สังข์ลูกน้อย ไม่ใช่เด็กเหลวไหล เธอคิดว่าเป็นพราะลูกติดของเล่นนี่เอง อยากให้ลูกมีความรับผิดชอบ เป็นผู้ใหญ่ จึงทุบของเล่นพัง สังข์ร้องไห้คร่ำครวญเสียใจมาก เสียดายของเล่นยิ่งนัก แต่ก็ตัดใจได้ จากนั้น แม่ก็ส่งสังข์ไปเข้าเรียน ชั้นเตรียม ป.1 วันแรกแม่ไปส่ง แต่วันต่อมา สังข์เดินทางไปโรงเรียนเอง และก็กลับเอง เพราะบ้านอยู่ไม่ห่างจากโรงเรียนมากนัก เนื่องจากสังข์เป็นเด็กดี มีสัมมาคารวะ รู้จักทักทายคน จึงมีแต่คนรักและเอ็นดู

(2) วันสังหาร

เช้าวันหนึ่ง มีชายแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้าน ถามถึงเด็กชื่อสังข์ พวกเขาค้นหาจนพบตัว ในขณะเดินทางไปโรงเรียนคนเดียว จึงจับตัวไป โยนลงในคลอง หวังให้จมน้ำตาย คิดว่าเด็กตายแล้ว และมีคนผ่านมาพอดี กลัวคนเห็น คนร้ายจึงหนีไป ไปรายงานให้คุณวิชุดาทราบว่า ทำงานสำเร็จแล้ว

สังข์ เคยแอบไปหัดเล่นน้ำ และว่ายน้ำเองจนเป็น สังข์เป็นเด็กดำน้ำได้อึดพอสมควร วันนั้นหลังถูกชายลึกลับโยนลงคลองหวังฆ่าให้ตาย น้ำเชี่ยวและลึก สังข์ยังเด็กเกินไป จึงสำลักน้ำ และหมดสติ มารู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อมีชายแก่หนวดเครารุงรัง ชาวบ้านแถบนั้นเรียกว่า นาเคนทร์ หรือเฒ่าเคนผีบ้า เพราะแกไม่ชอบคบหากับใคร ชอบอยู่คนเดียว นาเคนทร์ออกหาปลาพบเด็กเกยตื้นเกาะขอนไม้ลอยมาติดฝั่ง จึงช่วยไว้ได้ทัน

สังข์ อยู่กับนาเคนทร์ มาหลายวัน ได้แสดงความเฉลียวฉลาด แสดงความมีปัญญาไหวพริบให้เฒ่าเคนเห็นหลายครั้ง จนเฒ่าเคนเห็นว่า เด็กน่าจะมีอนาคตมากกว่าจะมาอยู่บ้านป่าแบบนี้ ครั้นจะส่งเด็กคืนแม่ ก็จนใจ ไม่รู้จะไปตามได้ที่ไหน จึงติดต่อไปยังคุณนายรัตนา ซึ่งเคยรับปากกันไว้ว่า ถ้าเจอเด็กช่วยหาให้คนหนึ่ง จะเอาไว้เฝ้าสวน

(3) ชีวิตใหม่

ที่จังหวัดใหญ่แห่งนึ่ง คุณนายรัตนา รัตนพันธุ์ เป็นหญิงหม้ายปากร้าย ชอบคนตรง พูดตรง จริงใจ ใครๆ ก็รู้ว่าคุณนายรัตนาเป็นหญิงที่ชอบสังคมสงเคราะห์ ไม่มีใครรู้อาชีพที่แท้จริง แต่เธอก็ร่ำรวยมาได้ระดับหนึ่ง สังข์ได้มาอยู่กับ คุณนายรัตนา ช่วยทำงานบ้าน ทำงานสวนทุกอย่าง ทั้งที่ยังเป็นเด็ก แต่ก็รับผิดชอบเหมือนผู้ใหญ่ รู้จักเอาอกเอาใจคุณนาย คุณนายรัตนมีโรคหัวใจเป็นโรคประจำตัว สังข์ทำหน้าที่คอยจัดยาให้อยู่มิได้ขาด จนคุณนายรักใคร่ ที่สุดรับเป็นบุตรบุญธรรม ให้อยู่เป็นเพื่อนเล่นกับ มารินี บุตรสาวของนางกับสามีที่เสียชีวิต และ สุทธิยา หลานชายจอมเกเร

มารินี เป็นเด็กขี้ใจน้อย สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ปวดฟัน เป็นโรคไมเกรนอยู่เสมอ เรียนหนังสือไม่ค่อยเก่ง ความจำไม่ดี ส่วน สุทธิยา เป็นลูกของน้องสาวเอามาฝากเลี้ยง คุณนายรัตนาก็เอียมระอากับหลานคนนี้เสียเหลือเกิน ส่งให้ไปเรียน ก็เกเร ไม่คอยชอบเรียน ขี้เกียจ ซึ่งผิดกับสังข์ จนเป็นที่ริษยาของ สุทธิยา สังข์จึงถูกสุทธิยาแกล้งอยู่เสมอ ทั้งดูถูกดูแคลน แต่สังข์ก็อดทนเสมอมา และคิดถึงแม่ที่แท้จริงตลอดเวลา คิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องตามหาแม่ให้เจอ แต่กับมารินี แล้ว...

สิบห้าปีผ่านไป ขณะนี้ เด็กทั้งสามคน กำลังเรียนอยู่ปีสี่ ของมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง ใกล้จบแล้ว มารินีเรียนคณะนิเทศศาสตร์ สุทธิยาเรียนบริหารธุรกิจ ส่วนสังข์เรียนคณะวิทยาศาสตร์ มารินี แอบชอบสังข์ แต่สุทธิยา เกลียดสังข์มาตลอด ไม่ชอบให้มารินียุ่งกับสังข์ ส่วนสังข์รู้สึกสำนึกตัวตลอดว่าเป็นใคร ไม่คิดอาจเอื้อม จึงรักมารินี เหมือนน้องสาว ในหัวใจมีแต่แม่จันทนีที่คิดถึงอยู่ทุกวัน

คุณนายรัตนา สร้างห้องทดลองวิทยาศาสตร์ไว้ ห้ามเด็กทั้งสามเข้าไปยุ่งอย่างเด็ดขาด แต่สังข์เป็นเด็กชอบเรียนรู้ และตนเองก็เคยทำงานในห้องแลบมาก่อน จึงอยากรู้ว่า ในห้องมีอะไร แม่รัตนา จึงห้ามไว้ไม่ให้เข้าไปยุ่ง

วันหนึ่งสังข์แอบเข้าไปเห็นเหตุการณ์ในห้องแลบ สังข์มาทราบความจริงว่า แท้จริง คุณนายรัตนา กำลังทดลองเพาะเชื้อจุลินทรีย์พันธุ์ใหม่ ที่ใช้เป็นองค์ประกอบทำระเบิดเคมี ส่งขายให้อิรัก นางปกปิดเป็นความลับมาตลอด

สังข์ก็ปกปิดความลับนี้ตลอดเช่นกัน และก็แอบเข้าไปในห้องแลบ ไปศึกษาเรียนรู้ จนพบสูตรการขยายพันธุ์ของจุลินทรีย์พันธุ์หนึ่งโดยบังเอิญ จุลินทรีย์พันธุ์นี้ ถ้าได้รับการกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ เป็นอาหาร และให้มันอยู่ในสภาพแวดล้อมอย่างหนึ่ง มันจะหลั่งสารเคมีที่เป็นพิษ ซึ่งนำไปสร้างระเบิดได้ แต่ถ้าให้มันอยู่ในสภาพแวดล้อมอีกอย่างหนึ่ง และให้อาหารที่ต่างกัน มันจะหลั่งสารเคมีที่เป็นคุณประโยชน์ สามารถนำใช้เป็นสารกระตุ้นชีวภาพในทางสันติได้ แต่คุณนายรัตนาเป็นผู้กุมความลับทั้งหมด สูตรลับ รหัสทางเคมีต่างๆ ถูกเก็บไว้เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุค มีรหัสผ่านหลายขั้นตอน หากคุณนายล่วงรู้สูตรใหม่ที่สังข์ค้นพบโดยบังเอิญ นางคงจะดีใจไม่น้อย แต่สังข์เองก็ไม่ทราบกระบวนการ และขั้นตอนในการผลิตและเก็บเคมีดังกล่าว ตลอดจนกระบวนการผลิตหัวระเบิดชีวภาพ เป็นความลับที่คุณนายรัตนารู้เพียงคนเดียว

สังข์ยังค้นพบอีกว่า คุณนายรัตนาได้สร้างยานขนส่งล่องหนไว้ลำหนึ่งด้วย ที่ล่องหนได้ ใช้หลักการสร้างภาพลวงตา คือในขณะที่คนมองตรงไปยังยาน ด้านตรงข้ามของยานจะติดตั้งกล้องถ่ายภาพวิดีโอชนิดพิเศษ จากนั้นจะส่งภาพที่ถ่ายได้ไปฉายบนผิวลำตัวของยานทำให้เกิดภาพซึ่งลำตัวยานบังอยู่ จึงดูเหมือนว่าไม่มียานลำนั้นอยู่ เหมาะสำหรับใช้ในเวลากลางคืน ซึ่งคุณนายรัตนา ตั้งใจจะใช้เป็นยานพาหนะขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย แต่โชคไม่ดี ที่สังข์มาพบเข้า และสังข์ก็รู้ดีว่า เครื่องมืออุปกรณ์เหล่านี้ทั้งหมด ถ้านำไปใช้ในทางชั่ว โลกจะเดือดร้อนมาก จึงแอบไปศึกษาดูคู่มือวิธีขับขี่จนชำนาญ

ความลับสุดยอด ที่สังข์ค้นพบ ก็คือ เขาเล็ดรอดเข้าไปในห้องลับ เป็นห้องทดลองทางเคมี ใช้ผลิตยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่ง บรรจุเป็นแคปซูล ที่กินเข้าไปแล้ว หนึ่งเม็ดจะออกฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า แขน ขาให้ดูปูดโปน น่าเกลียด จนตัวเองก็จำตัวเองไม่ได้ ไม่มีผลข้างเคียง นอกจากจะรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยตอนที่มันกำลังออกฤทธิ์ใหม่ๆ เม็ดหนึ่งออกฤทธิ์ได้นาน 5 ชั่วโมง

(4) หนี

หลังเรียนจน รับปริญาบัตรแล้ว สังข์เตรียมตัวหนีออกจากบ้านคุณนายรัตนา โดยไม่มีใครล่วงรู้ แต่ก็เขียนจดหมายทิ้งไว้ให้แม่รัตนา และขอบคุณที่ได้เลี้ยงดูสั่งเสียจนเติบใหญ่ ให้ความรักเหมือนลูกที่แท้จริง แต่สังข์เองก็มีแม่ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แม่รัตนาเป็นคนดีของลูก แต่เป็นคนร้ายของสังคม สังข์ไม่อาจรับความจริงข้อนี้ได้ สังข์ขอลาแม่ไปก่อน และขอโทษ ที่ทำลายความหวังทุกสิ่งทุกอย่างของแม่ลง แต่สังข์อยากให้แม่ล้มเลิกความตั้งใจ เลิกคบคิดทำชั่วนั้นเสีย สังข์ขับยานพาหนะล่องหนหนีในคืนวันนั้น พร้อมกับโน็ตบุค ในร่างของชายขี้ริ้วขี้เหร่ที่สุด

คุณนายรัตนารู้เข้า โกรธมาก รีบพาสมุนคู่ใจ นายสุชน นายสุรเดช และคนอื่นๆ ออกติดตาม ด้วยรถเก๋งคันหรู ตามไปทัน ณ ที่มีแม่น้ำขวางกั้น แต่สะพานถูกระเบิดไปก่อนหน้านั้น นางข้ามไปไม่ได้ เวลานี้รุ่งสางมากแล้ว ยานถูกเปิดเผยตัว สังข์ปรากฏตัว ร้องสั่งบอกคุณนายรัตนาว่า ขอให้แม่กลับไปบ้านเสียเถิด และล้มเลิกโครงการทั้งหมด ส่วนลูกจะออกติดตามแม่ที่แท้จริงต่อไป

คุณนายรัตนา อ้อนวอนให้ลูกสังข์กลับ ก็ไร้ผล กอรปกับเริ่มเห็นบาปกรรมที่ตนกำลังทำ จึงสั่งสมุนคนอื่นๆ ให้กลับไปก่อน เหลือไว้เพียงนายสุชน และนายสุรเดช โรคหัวใจของคุณนายรัตนาเริ่มกำเริบ วันนี้รีบร้อนเกินไปลืมเอายามาด้วย รู้ตัวก่อนตาย จึงบอกรหัสลับ ให้สังข์มาเอาไปทำลายสูตรชั่วๆ นั้นเสีย อย่าให้ใครรู้เป็นเด็ดขาด แล้วก็สิ้นใจ สังข์จึงขับยานข้ามไปอีกฝั่ง เอารหัสผ่านมาเปิดเข้าไปดูในโน็ตบุค เป็นความจริงทุกประการ สังข์คิดไว้ว่าจะยังไม่ทำลาย แต่จะนำไปใช้ในทางสันติ

สังข์จึงนำศพแม่รัตนาไปทำพิธีทางศาสนา เผาศพก่อน ถึงเวลานี้ แม้สังข์จะเป็นลูกบุญธรรม แต่ทุกคนก็ยอมรับให้เป็นหัวหน้าแทนคุณนายรัตนา สังข์จึงแปลงห้องแลบให้เป็นสถานที่ทดลองทางชีวภาพในทางสันติ และทำลายสูตรลับในการสร้างระเบิดชีวภาพนั้นเสียสิ้น ตั้งเป็นบริษัทใหม่ บริษัทแผ่นดินแม่

(5) ตามหาแม่

เมื่อสร้างรากฐานให้แก่น้องๆ มอบหมายธุรกิจการงานให้ มารินี และสุทธิยาแล้ว สังข์ก็ขอลาไปตามหาแม่ต่อไป ท่ามกลางความอาลัยรักของมารินี

ที่กรุงเทพฯ ย่านคลองเตย วันนี้เป็นวันอาทิตย์ พวกเด็กๆ กำลังหยอกล้อเล่นกับชายอัปลักษณ์คนหนึ่ง อย่างสนุกสนาน ไม่มีใครทราบว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน เขาทำอาชีพเก็บขยะขาย แท้จริงก็คือสังข์นั่นเอง เขาเรียนรู้ถึงวิถีชีวิตของคนเมือง เรียนรู้วิธีแก้ปัญหา มลพิษ ขยะ การจราจร ในกรุงเทพฯ เข้าไปเรียนรู้วิธีการจัดการขยะกับบริษัทวงศ์วานิช แต่ที่สังข์คิดไว้ มากกว่านั้น....

เขาค้นพบว่า ปัญหาต่างๆ เกิดจาก "คน" ที่ไร้คุณธรรม กินมากใช้มาก เห็นแก่ตัว โหดร้าย รุนแรง ตามอำนาจของกิเลสตัณหา ทางออกในการแก้ปัญหาก็คือ ต้องลดความเห็นแก่ตัวของคน ให้คนพ้นจากการเป็นทาสอบายมุขให้ได้ก่อน แล้วสร้างอาชีพใหม่ที่พึ่งตนเองให้ได้ สร้างสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กับสุขภาพที่ดี

สังข์เรียนรู้วิถีชีวิต ความทุกข์ยาก สาเหตุ วิธีแก้ไข ด้วยการพูดคุยกับชาวบ้าน จนลืมไปว่าขณะนี้ เขากำลังตามหาแม่อยู่ ความทุกข์ที่เกิดจากความพลัดพรากเป็นทุกข์ แต่ความทุกข์ของสังข์ ยังไม่หนักหนาเท่าความทุกข์ของคนสลัม คนจนๆ ทำอย่างไรที่จะให้คนเหล่านั้น เลิกละการอพยพเข้ามาในเมืองหลวง เพราะมันสร้างปัญหาต่างๆ มากมาย

แม้จะมองไม่เห็นหนทางว่าจะได้พบแม่ แต่เขาก็ยังไม่สิ้นหวัง

(6) รจนา ปี 2005

นายสมิลักษณ์ ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพราะคนกรุงเทพฯ เชื่อว่า เขาจะแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ขยะ การจราจรได้ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปปัญหาก็ยิ่งทับทวี

นายสมิลักษณ์ แต่งงานกับภรรยาคนแรก มีบุตรสาวด้วยกัน 3 คน ต่อมา นายสมิลักษณ์ แอบไปได้เสียกับภรรยาคนที่สอง มีลูกด้วยกันเป็นหญิงทั้ง 3 คน เท่านี้ยังไม่พอ นายสมิลักษณ์ ยังไปแอบมีภรรยาเป็นคนที่ 3 คราวนี้มีศักดิ์เป็นถึงดอกเตอร์สาวจาก MIT ชื่อ มัณฑนารินี และให้กำเนิดบุตรสาวอีก 1 คน นับเป็นคนสุดท้าย เขามีลูกมากเพราะอยากได้ลูกชายไว้สืบสกุล แต่ก็ผิดหวัง มีแต่ลูกสาว

ทุกคนมีครอบครัวหมดแล้ว เว้นแต่คนสุดท้าย ชื่อ รจนารินี หรือทุกคนในบ้านมักเรียกว่า คุณหนูรจ หรือ รจนา กำลังเรียนอยู่ปีสาม ม.เกษตร ลูกคนนี้แปลก ไม่ชอบยุ่งกับใคร ชอบปลูกต้นไม้ ทำสวน ซึ่งนายสมิลักษณ์ เป็นคนเจ้ายศ ติดระบบเจ้าขุนมูลนาย ชอบดูถูกคน โดยเฉพาะชาวไร่ชาวนา คนป่าคนดอย ย่อมทนไม่ได้ที่เห็นลูกสาวมีพฤติกรรมแบบนี้

ก่อนจบการศึกษา รจนา กับเพื่อนๆ มีโอกาสออกค่ายอาสาพัฒนาสัจธรรมชีวิต บังเอิญ เข้าไปใช้ชีวิตร่วมกับชาวชุมชนสลัมคลองเตย และมีโอกาสพบกับสังข์ แรกๆ รจนาไม่รู้จักสังข์ดีพอ จึงรังเกียจ แต่ก็ไม่ถึงกับผลักไส แต่คบคุ้นกันไปนานๆ ได้คุยกัน ถึงวิถีชีวิต ความคิดอุดมการณ์ ก็รู้สึกชอบ พอใจ คิดในใจว่า ถ้าเป็นคนปกติไม่พิการก็จะคบเป็นแฟน แต่ก็ยังไม่ทันหายสงสัย วันหนึ่ง ยาที่สังข์กินเข้าไปเกิดหมดฤทธิ์เอาเสียดื้อๆ รจนา แอบรู้ความจริง แต่สังข์ไม่ให้บอกใคร รจนาก็เล่นสนุกด้วย ความใกล้ชิด เกิดเป็นความรัก ถึงขึ้นขออยู่ร่วมชีวิตเป็นสามีภรรยา

นายสมิลักษณ์ รู้ความจริงเข้า โกรธมาก และรู้สึกเสียหน้า เสียหายมากที่สุด จึงขับไล่ให้ทั้งสองคนออกไปจากบ้าน ถึงกับตัดพ่อลูก สังขวุฒิ กับ รจนารินี จึงออกไปเช่าบ้านพัก ที่บริเวณ คลอง 13 ปทุมธานี ปลูกผัก ทำกสิกรรม สังข์ได้นำสูตรต่างๆ มาดัดแปลง ทดลองทำปุ๋ยน้ำ ปุ๋ยจุลินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพสูตรต่างๆ มากมาย ตลอดจนทำน้ำยาเอนกประสงค์ ด้วยตนเอง กับรจนา จนประสบผลสำเร็จ และได้เผยแพร่ให้เพื่อนบ้านเอาอย่างตาม และเกิดอาชีพใหม่ขึ้นมา เรียกว่า สามอาชีพกู้ชาติ เกิดเป็นกลุ่มเครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษขึ้นมา เริ่มสร้างเป็นศูนย์ฝึกอบรมชาวบ้าน เกิดระบบสหกรณ์ เพียงสี่ปีเท่านั้น

ทุกวันนี้สังข์ คือนายสังขวุฒิตัวจริง เพราะได้รับการขอร้องจากภรรยา และเพื่อนบ้าน ให้เลิกทำตัวเล่นละครได้แล้ว หันมาใช้ชีวิตเป็นปกติสุขแบบสามัญดีกว่า สังข์ก็เห็นด้วย

(7) กรุงเทพฯ ยามวิกฤติ

ขณะนี้ ปัญหารถติด อากาศเสีย ขยะล้นเมือง มลพิษทางเสียง กำลังรุมทำร้ายสังคมเมืองกรุงเทพ อย่างรุนแรง ไร้ทางแก้ไข จึงเกิดม็อบขับไล่ ผู้ว่าฯสมิลักษณ์

นายสมิลักษณ์ คิดหาทางแก้ไข โดยระดมสมองกับเขยทั้งหกคน แต่ก็ไร้ผล เพราะเขย
ทั้งหก ต่างเป็นนักธุรกิจ บางคนก็ว่าง บางคนก็ไม่มีทางออกที่ดี คนรับใช้จึงบอกแก่นาย
สมิลักษณ์ว่า ยังมีเขยคนที่เจ็ดอยู่อีกคน ไม่ลองเรียกมาช่วยกู้สถานการณ์ เพียงเอ่ยชื่อ สังขวุฒิ ก็ทำให้นายสมิลักษณ์ ไม่พอใจ ยังโกรธเคืองไม่หาย แต่ก็หมดหนทาง จึงจำเป็นต้องเห็นคล้อยตาม

สังขวุฒิ กับ รจนารินี พร้อมด้วย สมาชิกเครือข่ายกสิกรรม เดินทางเข้าพบผู้ว่า กทม. อย่างมั่นใจ เข้าพบผู้ว่าในห้องประชุมหรู พร้อมกับนำเสนอผลงาน ด้วยภาพถ่าย วีดิทัศน์ แต่
ผู้ว่าก็ยังไม่เชื่อ คิดว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้น ไม่มีจริง แต่ก็ไม่มีทางเลือกอย่างอื่นอีกแล้ว ที่ประชุมจึงยินยอมให้ใช้วิธีการของสังข์ รจนา กับพวก ในการแก้ปัญหาวิกฤติ

เริ่มด้วยการคัดเลือกคน เข้าฝึกอบรมสัจธรรมชีวิต ลดละ เลิกอบายมุข กิจกรรม 5ส.
กสิกรรมธรรมชาติ ทำปุ๋ยจากขยะ แยกขยะขาย หันมาดูแลสุขภาพ แบบ 7อ. ผ่านไป 6 เดือน ผู้คนที่เข้าโครงการต่างพอใจ ผู้ว่าฯ ก็เห็นผล จึงบรรจุเข้าเป็นโครงการพัฒนา
คุณภาพและศักยภาพชีวิต ให้แก่คนใน กทม. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนต่างจังหวัดอพยพเข้ามาจนกลายเป็นคนกรุงเทพฯไปโดยปริยาย

สี่ปีผ่านไป ที่สุดปัญหาต่างๆ ใน กทม. ก็ลดลง โดยนำเงินงบประมาณจากเงินคงคลัง และเงินรายได้จากธุรกิจของเขยอีก 6 คนมาร่วมเป็นทุนสะสมด้วย เขยทั้ง 6 แม้จะไม่พอใจ แต่ก็จำยอมเพราะ ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า วิธีการของสังขวุฒติได้ผลเป็นที่ประจักษ์

กิจกรรมได้ขยายไปสู่ชนบท ลดคนอพยพเข้าเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องครอบครัวดีขึ้น นายสมิลักษณ์วันนี้ ถึงแม้วัยจะร่วงโรย แต่ใจก็สู้ ประกาศเลิกดื่มเหล้า และกำหนดให้ทุกวันอาทิตย์ของทุกสัปดาห์เป็นวันงดเหล้า ห้ามขายสุรา เบียร์ทุกชนิดในวันอาทิตย์ ปิดสถานเริงรมณ์ทุกชนิด ประกาศกรุงเทพคือเมืองสวรรค์ ท่ามกลางความโห่ร้องยินดีของชาว กทม. แต่ได้รับความเกลียดชังจากนายทุน นักการเมือง และนายตำรวจ ที่เคยได้รับผลประโยชน์ จากกิจกรรมอบายมุข ในที่สุด นายสมิลักษณ์ก็ถูกสังหาร โดยมือปืนอาชีพ โดยที่ตำรวจ ไม่สามารถจับคนร้ายได้

(8) ผู้ว่า กทม. คนใหม่

ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่ แทนนายสมิลักษณ์ นายสังขวุฒิ นาวาบุญนิยม จึงได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น โดยไม่มีการหาเสียงแต่อย่างใด เพราะสมาชิกในเครือข่ายเป็นคนช่วยหาเสียงโดยการบอกต่อ ท่ามกลางความแปลกประหลาดใจของคู่แข่ง ไม่ได้หาเสียงแต่ได้รับเลือกตั้งอย่างไร เกิดอะไรขึ้นกับคนกรุงเทพในยุคนี้

สังขวุฒิประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ชีวิตของสังข์ก็ยังไม่สมบูรณ์ เขายังเป็นห่วงแม่ ยังไม่รู้ชะตากรรม ถ้ารู้ว่าแม่ตายแล้ว เขาจะได้ทำใจ เลิกคิดที่ออกตามหา

ภาพอันน่ารันทดใจก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อสังข์มาพบหญิงชราคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาตามหาญาติ เธอคือ แม่จันทนี ที่หมดหวังแล้วว่าชีวิตนี้จะได้พบลูกชายอีกครั้งหนึ่ง จนนางเองก็จำลูกไม่ได้แล้ว แต่สัญลักษณ์ และความรู้สึกอย่างหนึ่งที่แม่และลูกจดจำกันได้ คือ … รอยสัมผัสอันอ่อนนุ่ม อ่อนโยน เต็มเปี่ยมด้วยความเมตตา หยาดน้ำตาอุ่นๆ ไหลอาบแก้มสองแม่ลูก เมื่อรู้ว่าวันเวลาที่รอยคอยอันยาวนานสิ้นสุดลงแล้ว

สอบถามจนได้ความ สังข์จึงรับแม่ที่แท้จริง ไปอยู่ด้วย วันที่เขาพบแม่ ตรงกับวันที่ 12 สิงหาคม ปี 2005

ขอบูชาแม่ของแผ่นดิน….
บูชาแม่ราชินี เป็นที่หนึ่ง
บูชาแม่ธรณี แม่ที่สอง
บูชาแม่คงคา แม่ที่สาม
บูชาแม่โพสพ แม่ที่สี่
บูชาแม่ของเรา แม่ที่ห้า

จบ

การดำเนินเรื่อง อิงจากวรรณคดีไทยเรื่อง “สังข์ทอง” โดยกำหนดตัวละคร เช่นเดียวกับในวรรณคดี มีเสริมแต่งขึ้นบ้างเพื่อให้ดูเหมาะสม วิถีเหตุการณ์ต่างๆ ปรับเปลี่ยนให้เป็นวิถีในปัจจุบัน เช่น

คุณนายรัตนา ในวรรณคดีคือ นางยักษ์พันธุรัตน์
นายสมยศ ในวรรณคดีคือ ท้าวยศวิมล
นายสมิลักษณ์ ในวรรณคดีคือ ท้าวสามล
ของเล่นที่สังข์ชอบ ในวรรณคดีคือ หอยสังข์ แม่ทุบหอย เหมือนทุบของที่รักของสังข์
นาเคนทร์ ในวรรณคดีคือ พญานาคที่เป็นเพื่อนนางพันธุรัตน์
ยานล่องหน ในวรรณคดีคือ หัวเงาะ ไม้เท้า และรองเท้าทองคำ
ห้องวิจัย ในวรรณคดีคือ ถ้ำยักษ์ที่มีบ่อเงิน บ่อทอง และเป็นที่ขังสัตว์ต่างๆ ที่เป็นอาหารของยักษ์
ชายที่มีผิวปูดโปน ในวรรณคดีคือ เจ้าเงาะป่า
รหัสผ่านดูสูตรลับ ในวรรณคดีคือ คาถาเรียกเนื้อเรียกปลา
กรุงเทพฯวิกฤต ในวรรณคดีคือ เทวดาท้าประลองตีคลีกับท้าวสามล

 

สังข์ทอง รจนา ภาค….. อมยิ้ม

อันสังข์ทองเมียงมองลอดช่องแก
คอยเหลือกแล แน่ใจ ไม่หมายผิด
ว่านี่หรือ คือรจนา ที่ข้าคิด
ไหงหงุดหงิด งุ่นงาน รำคาญจริง

ก็ตัวเธอ เบอเร่อหนัก ดุจโอ่งไห
แม้ชายใด ได้ประจักษ์ รักเข้าสิงห์
ก็ตัวข้า ว่าอ้วน ม้วนกลมกลิ้ง
นี่น้องหญิง กลิ้งกลมกว่า มันน่าชัง

วันวัน เอาแต่นอน จนหมอนยุบ
ที่นอนบุบ แบะบาน ไปข้างหลัง
เก้าอี้หัก เพราะหนัก เหลือกำลัง
ซ่อมหลายครั้ง ยังเหมือนเก่า ถึงคราวซวย

ก็ซ่อมแล้ว กี่หน ทนไม่ได้
ขืนซ่อมไป เหมือนเสียรู้ ดูไม่สวย
สู้อุ้มไป ให้หมอศัลย์ พลันเข้าช่วย
ดูดไขมัน ออกให้ด้วย นะหมอจ๋า

พี่สังข์ทอง พาน้องรจ งดกินข้าว
กลายเป็นข่าว เล่าขาน กลัวหมอผ่า
เธอทั้งสอง ท่องสัจจะ "เอาจริงค่า"
ตั้งใจว่า อีกสองเดือน เพื่อนแปลกใจ

ปรากฎว่า ยังไม่ถึง ครึ่งของเดือน
สังข์ดูเหมือน รจนา ที่ตรงไหน
ท่ามกลางเสียง ฮาลั่น พลันตกใจ
ดูดูไป คล้ายฮิปโป โธ่สังข์ทอง.

ปริศนาคำทาย ช่วงสองเดือนเกิดอะไรขึ้น ทำไมสังข์กับรจนา
จึงดูเหมือนฮิปโป ?

ทั้งสังข์ทอง กับน้องรจ หลังอดข้าว
สองหนุ่มสาว พากันไป กินก๋วยเตี๋ยว
ห้าชามผ่าน ไม่นาน ซดรวดเดียว
หลังจากนั้น ก็เลี้ยว กินไอติม

ตื่นเช้ามา นาทีแรก แดกฟาสต์ฟู๊ด
เหมือนปากไร้ หูรูด ดูดหยุมหยิม
ทั้งไขมัน หวานเค็ม เติมเต็มอิ่ม
เธอชอบชิม ทีละชาม สามเวลา

บ่ายเอนหลัง หนังตาหย่อน ขอนอนตัก
หนังตาหนัก เหมือนผลักหิน ให้ขึ้นผา
พยายาม ค้ำไว้ ให้เปลือกตา
อย่าให้หล่น ลงมา ปิดตาพลัน

.....เช้าวันใหม่ ตั้งใจ ลดน้ำหนัก
พาคนรัก ทำซาวน์น่า อดอาหาร
ทั้งพี่สังข์ น้องรจ งดหวานมัน
แถมขยัน ออกแรงดี ไปตีกอล์ฟ

บ่ายเข้าครอส นวดแผนไท จนหายเมื่อย
พากันเดิน เรื่อยเรื่อย ไม่เหนื่อยหอบ
เวลาค่ำ ดื่มสมุนไพร อีกหนึ่งรอบ
ก่อนตรวจสอบ สุขภาพ ให้ดูดี

ผลปรากฎ รจนา ดูน่ารัก
ผิวผ่องพักตร์ งามพริ้ม ยิ้มแก้มใส
ส่วนสังข์ทอง มองดู มาแต่ไกล
หนุ่มหน้าไทย สุดเท่ห์ เสน่ห์พราว

ได้รับเชิญ โชว์ตัว ก็คราวนี้
เป็นตัวอย่าง ที่ดี ของหนุ่มสาว
เสียงตะโกน ตื่นได้ แล้วคนขี้เซา
เสียงหมาเห่า ขับไล่ ไปเสียที.

อ.สู่ดิน ชาวหินฟ้า
1 มิย.2548

เมื่ออ่านสังข์ทองจบลงแล้ว ทำให้นึกถึงบรรยากาศทางการเมืองของกรุงเทพฯ เมื่อคราวเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ข้าพเจ้าอยากเห็นนักการเมืองในอุดมคติ จึงเขียนบทเพลงนี้ขึ้นมา ตั้งใจว่าจะส่งให้ทางพรรคเพื่อฟ้าดิน (พฟด.) เอาไว้เป็นเพลงรณรงค์เลือก ส.ส. แต่ปรากฎว่าทางพรรคยังไม่พร้อมจะส่งผู้ใด ขอทำงานการเมืองภาครากหญ้าไปก่อน

เพลงเพื่อฟ้าเพื่อดิน
คำร้อง - ทำนอง: สู่ดิน ชาวหินฟ้า

ชวนกันไป ชวนกันไปเลือกตั้ง
เลือกคนดี เข้าไปนั่งเป็นตัวแทน
ชาวบ้านอย่างเรา ยิ่งจนข้นแค้น (ร้องหมู่ ซ้ำ)
แต่ว่าผู้แทน ยิ่งรวยเงินตรา

ดูดีดี ดูให้ดีก่อนเลือก
ผู้แทนเปลือกเปลือก มีอยู่เต็ม (ใน) สภา
ความหล่อความรวย ช่วยกันโฆษณา (ร้องหมู่ ซ้ำ)
ให้คนเชื่อว่า สมราคาผู้นำ

**โลกาถึงคราวินาศ การเมืองขี้ขลาดโค่นทิ้งคุณธรรม
คนดีต้องกล้าชี้นำ ต้องกล้าตอกย้ำเป็นตัวอย่างที่ดี
การเมืองต้องเสียสละ ยืนยันสัจจะกล้าทำงานฟรี
ซื่อสัตย์จริงใจพาที กินอยู่พอดีไม่เป็นหนี้ทุนนิยม
ถึงคราต้องยุ่งการเมือง คนด่าหาเรื่องยอมเป็นอีแร้งสังคม
ขอประกาศการเมืองบุญนิยม (ซ้ำ) สิ่งดีต้องข่มสิ่งชั่วร้ายพ่ายไป ไป ไป ไป
(SFX: Fade out ไป ไป ไป ไป ไป ไป)

ตัดสินใจ ตัดสินใจให้แน่
ผู้แทนที่แท้มีคุณสมบัติอย่างไร
ไม่ต้องหาเสียง ให้สูญเงินเปล่าดาย (ร้องหมู่ ซ้ำ)
เลือกเขาเข้าไป ประเทศไทยไชโย

(ซ้ำ **)
เลือกเขาเข้าไป ประเทศไทยไชโย ไชโย ไชโย ไชโย ไชโย ไชโย
(SFX:เสียงกระหึ่มของหมู่ชน ไชโย Fade in ไชโย ไชโย ไชโย, Stop)

27 กันยายน 2547

บ้านดินที่ชุมชนหินผาฟ้าน้ำ จ.ชัยภูมิ

(หน้าต่อไป.........)